บริการวิดีโอสตรีมมิ่งของดีสนีย์ (Disney) ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในชื่อดิสนีย์พลัส (Disney+) กำหนดเปิดบริการเต็มรูปแบบคือวันที่ 12 พ.ย. 62 ในราคาเริ่มต้น 6.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือนหรือราว 222 บาท โดยราคาเหมารวมทั้งปีจะลดเหลือ 69.99 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,227 บาทต่อปี ทุบราคาชนเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ที่เปิดราคาเริ่มต้นไว้ขณะนี้ 7.99 เหรียญ
เควิน เมเยอร์ (Kevin Mayer) หัวหน้าหน่วยธุรกิจผู้บริโภคโดยตรงหรือ direct-to-consumer unit โชว์ความคืบหน้าของบริการ Disney+ ให้นักลงทุนได้ชมครั้งแรกทั้งแอปและอินเทอร์เฟซของ Disney+ จากการประเมินเบื้องต้น พบว่า Disney+ ออกแบบหน้าตาโปรแกรมในทางเดียวกับ Netflix เพราะผู้ใช้ Disney+ จะได้เห็นเนื้อหาแนะนำ รวมถึงทีวีซีรีส์ใหม่ หรือภาพยนตร์ที่เพิ่มเข้ามาในแพลตฟอร์ม แต่จุดที่แตกต่างจาก Netflix คือการเพิ่มหมวดวิดีโอ 5 ส่วนบริเวณด้านบนของหน้า ซึ่งจะนำผู้ใช้ไปยัง 5 แบรนด์ยักษ์ของ Disney ได้แก่ Disney, Pixar, Marvel, Star Wars และ National Geographic
ผู้บริหาร Disney ระบุว่า Disney+ จะสามารถสตรีมวิดีโอผ่านสมาร์ททีวี เว็บเบราว์เซอร์ แท็บเล็ต และอุปกรณ์มือถือ รวมถึงเครื่องเกมคอนโซล เบื้องต้นบริการ Disney+ ได้ทำข้อตกลงกับค่ายเคเบิลทีวีอย่างโรคุ (Roku) และค่ายเกมอย่างโซนี่ (Sony) ไว้แล้ว ทำให้ Disney+ พร้อมให้บริการบนแพลตฟอร์มของทั้งคู่
จุดนี้ สมาชิก Disney+ จะสามารถตั้งค่าโปรไฟล์ส่วนตัวสำหรับเพื่อนหรือครอบครัว หากเป็นโปรไฟล์เด็กก็จะถูกควบคุมโดยผู้ปกครองแบบอัตโนมัติ ที่น่าสนใจคือเนื้อหาของ Disney+ ทั้งหมดจะสามารถดาวน์โหลดแบบออฟไลน์ได้ และจะพัฒนาให้รองรับการสตรีมแบบ 4K HDR ที่สามารถใช้งานได้บนทีวีได้ในอนาคต
นอกจากการเปิดกำหนดการของ Disney+ ผู้บริหาร Disney ยังประกาศว่าสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่างมาร์เวล (Marvel) กำลังทำซีรีส์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับตัวละครรองในภาพยนตร์ดัง Avengers เช่น Falcon และ Winter Soldier ยังมีโปรเจ็กต์จากซีรีส์ Star Wars ซึ่งจะมีการกำหนดระยะเวลาให้ชมแบบจำกัด โดยยืนยันว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องจะเปิดให้สตรีมเฉพาะบน Disney+ เท่านั้น อย่างน้อยก็ในขณะนี้